17 จำนวนผู้เข้าชม |
โปรแกรม Botox ช่วยลดอาการปวด คอ บ่า ไหล่ ได้จริงหรือ ??
เพื่อน ๆ พี่ ๆ ท่านไหนที่มีอาการปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่หรือเสี่ยงที่จะเป็นออฟฟิศซินโดรมบ้างครับ ? อาการที่แอดกล่าวมาเป็นอาการที่ร่างกายปวดเมื่อยไม่สบายตัวในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดได้จากการที่เรานั่งนาน ๆ ในท่าที่ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสมกับร่างกาย เช่น การก้มหน้าขณะใช้งานคอมพิวเตอร์ เล่นมือถือ ไม่ว่าจะลองนวดผ่อนคลายแล้วแต่อาการก็ยังไม่ทุเลาลง แอดแนะนำให้ลอง “ทำโปรแกรม Botox บริเวณ คอ บ่า ไหล่ “ ครับ
โปรแกรม Botox คอ บ่า ไหล่ คืออะไร ?
โปรแกรม Botox ใช้สาร Botulinum Toxin A ที่สกัดจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดเรื้อรังในบริเวณคอ บ่า ไหล่ อันเป็นผลจากโรคออฟฟิศซินโดรม วิธีนี้ช่วยลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งที่เป็นสาเหตุหลักของความเจ็บปวด และช่วยฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีอาการออฟฟิศซินโดรมเรื้อรัง ต้องพึ่งยาลดอาการปวดเป็นประจำ และกังวลเรื่องผลข้างเคียงจากการใช้ยา การทำโปรแกรม Botox นับเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ช่วยลดการพึ่งพายาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตได้อย่างเห็นผล
Office Syndrome เกิดจากอะไร? และจะรับมืออย่างไรดี ?
Office Syndrome เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อเดิมซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน เช่น นั่งทำงานท่าเดิมต่อเนื่องหลายชั่วโมง ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งและอาการปวดลามไปยังส่วนต่าง ๆ หากปล่อยไว้นาน อาการเหล่านี้อาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้
อาการที่พบได้บ่อย
ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ : ซึ่งมักเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน โดยไม่มีการพักหรือเปลี่ยนอิริยาบถ ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดอาการหดเกร็งและล้าอย่างต่อเนื่อง อาการนี้มีลักษณะเฉพาะ ดังนี้
ปวดร้าวกล้ามเนื้อ : อาการปวดมักเริ่มต้นจากบริเวณคอ บ่า ไหล่ และลามไปยังหลัง สะโพก ก้นกบ และสะบัก
กล้ามเนื้อตึง : บริเวณไหล่และคอมักมีอาการตึงจนยกแขนหรือขยับตัวได้ไม่คล่องตัว
อาการล้าสะสม : หากปล่อยไว้นานโดยไม่แก้ไข อาการปวดอาจลุกลามและกลายเป็นอาการเรื้อรัง
สาเหตุของอาการนี้เกิดจากพฤติกรรมการนั่งทำงานในท่าเดิมนาน ๆ ใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนติดต่อกันโดยไม่ได้พัก ส่งผลให้กล้ามเนื้อบางส่วนถูกใช้งานหนักเกินไป เช่น กล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่า
เหน็บชา : มักเกิดจากการนั่งทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ จนเกิดการกดทับของเส้นประสาทหรือเส้นเลือด ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดและการส่งสัญญาณประสาททำงานได้ไม่เต็มที่ อาการนี้สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ลักษณะของอาการเหน็บชา มักเริ่มต้นด้วยความรู้สึกชา ร้อนวูบวาบ หรือมีอาการเหมือนเข็มทิ่ม บริเวณที่พบได้บ่อย ได้แก่ นิ้วมือ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และขา
สาเหตุที่พบบ่อย
ท่านั่งที่ไม่เหมาะสม : การนั่งไขว่ห้าง การนั่งหลังค่อม หรือนั่งกดทับเส้นประสาทบริเวณสะโพก
การเคลื่อนไหวน้อย : การทำงานในอิริยาบถเดิมติดต่อกันหลายชั่วโมง เช่น การใช้คอมพิวเตอร์หรือการเขียนงาน
กล้ามเนื้อหดเกร็ง : ความตึงตัวของกล้ามเนื้อในบริเวณต่าง ๆ เช่น คอ บ่า หลัง ทำให้เส้นประสาทเกิดการกดทับ
ผลกระทบของอาการเหน็บชา
หากปล่อยไว้โดยไม่แก้ไข อาการเหน็บชาอาจกลายเป็นอาการเรื้อรังที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและประสิทธิภาพการทำงาน นอกจากนี้ยังอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติที่ร้ายแรงขึ้น เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
มือ - เท้าชา : เกิดจากการกดทับหรือการบีบรัดเส้นประสาทและเส้นเลือดในระหว่างการทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่นั่งทำงานในท่าเดิมนาน ๆ ใช้มือหรือข้อมือในการพิมพ์หรือจับเมาส์เป็นเวลานาน รวมถึงการนั่งไขว่ห้างที่ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดไปยังขาและเท้า
ลักษณะของอาการมือ-เท้าชา
ความรู้สึกชาบริเวณนิ้วมือหรือนิ้วเท้า : มักเริ่มต้นที่ปลายนิ้วและลามไปยังฝ่ามือหรือฝ่าเท้า
อาการปวดหรือเจ็บแปลบ : บางครั้งมีอาการปวดหรือเจ็บแปลบเหมือนถูกเข็มทิ่ม
กล้ามเนื้ออ่อนแรง : อาจรู้สึกว่านิ้วมือจับสิ่งของไม่ถนัด หรือเท้ามีแรงลดลง
อาการเกิดเฉพาะจุด : เช่น มือชาจากการใช้เมาส์มากเกินไป หรือเท้าชาจากการนั่งไขว่ห้าง
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการมือ-เท้าชา
การกดทับเส้นประสาท : ท่านั่งหรือการวางมือที่ไม่เหมาะสม อาจกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือหรือสะโพก
การไหลเวียนเลือดไม่ดี : การนั่งนานโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนปลายไม่เพียงพอ
กล้ามเนื้อหดเกร็ง : กล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า หลังตึงตัวจนดึงรั้งเส้นประสาท
การใช้งานข้อมือหนักเกินไป : เช่น การพิมพ์หรือคลิกเมาส์ซ้ำ ๆ ในมุมที่ไม่เหมาะสม
ผลกระทบของอาการมือ-เท้าชา
หากปล่อยไว้นาน ๆ อาการชานี้อาจกลายเป็นอาการเรื้อรัง และส่งผลต่อการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันได้ หรืออาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะที่ร้ายแรงขึ้น เช่น พังผืดกดทับเส้นประสาท หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือภาวะเส้นเลือดอุดตัน
ปวดศีรษะและกระบอกตา : พบได้บ่อยในผู้ที่ทำงานในออฟฟิศ โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องใช้สายตาจ้องจอคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ดิจิทัลเป็นเวลานาน รวมถึงผู้ที่มีท่าทางการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งส่งผลต่อระบบกล้ามเนื้อและการไหลเวียนเลือดโดยตรง
ลักษณะอาการที่พบ
ปวดศีรษะบริเวณท้ายทอย : อาจมีความรู้สึกหนัก ๆ หรือร้าวบริเวณท้ายทอย ลามไปยังขมับและหน้าผาก
ปวดร้าวบริเวณกระบอกตา : รู้สึกเหมือนมีแรงกดบริเวณรอบดวงตา ทำให้ดวงตาล้า ระคายเคือง หรือแสบตา
สายตาพร่ามัว : มองจอเป็นเวลานานทำให้เกิดอาการมองไม่ชัด หรือมีความรู้สึกเหมือนตาแห้ง
ไมเกรน : สำหรับบางคน อาการปวดศีรษะเรื้อรังจาก Office Syndrome อาจพัฒนาเป็นไมเกรนได้
สาเหตุของอาการ
กล้ามเนื้อหดเกร็ง : การนั่งทำงานในท่าที่ไม่ถูกต้องทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า และท้ายทอยเกร็งตัว ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองและดวงตา
แสงสีฟ้าจากจอ : การจ้องจอคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ดิจิทัลที่ปล่อยแสงสีฟ้าส่งผลให้ดวงตาทำงานหนักเกินไป
การไหลเวียนเลือดไม่ดี : ท่านั่งหรือการใช้กล้ามเนื้อแบบเดิมซ้ำ ๆ ทำให้เลือดไหลเวียนไปยังส่วนต่าง ๆ ของศีรษะและดวงตาได้ไม่เต็มที่
อาการระคายเคืองตา : พบได้บ่อยในผู้ที่ทำงานในออฟฟิศ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้สายตาในการจ้องจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตเป็นเวลานาน ๆ อาการนี้ไม่ได้เกิดจากดวงตาเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งส่งผลต่อระบบกล้ามเนื้อและการไหลเวียนเลือดในร่างกาย
ลักษณะอาการที่พบ
ตาแห้ง : รู้สึกระคายเคืองเหมือนมีเศษฝุ่นในตา
ตาล้า : มีอาการล้าหรือหนักบริเวณดวงตา หลังจ้องจอนาน ๆ
น้ำตาไหล : แม้ตาแห้งแต่บางครั้งร่างกายจะกระตุ้นให้หลั่งน้ำตามากขึ้นเพื่อลดอาการระคายเคือง
แสบตาและแดง : เกิดจากการใช้งานดวงตาหนักเกินไป ทำให้เส้นเลือดฝอยในตาอักเสบ
มองเห็นภาพพร่ามัว : มักเกิดหลังใช้งานหน้าจอเป็นเวลานาน
สาเหตุของอาการ
การจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน : การเพ่งหน้าจอทำให้กล้ามเนื้อตาเกิดการใช้งานหนัก และลดอัตราการกระพริบตาลง ส่งผลให้เกิดตาแห้ง
แสงสีฟ้าจากหน้าจอ : แสงสีฟ้าทำให้ดวงตาทำงานหนักขึ้นและเพิ่มโอกาสเกิดการระคายเคือง
สภาพแวดล้อมการทำงาน : ห้องที่มีอากาศแห้งจากแอร์หรือการตั้งจอคอมพิวเตอร์ในระดับที่ไม่เหมาะสม ส่งผลต่อสุขภาพตาโดยตรง
การไหลเวียนเลือดไม่ดี : เกิดจากท่าทางการนั่งที่ไม่เหมาะสม ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อรอบดวงตาและศีรษะได้ไม่เต็มที่
หมอนรองกระดูกเสื่อม , หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท : เป็นอาการที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนที่มีภาวะ Office Syndrome ซึ่งมักเกิดจากพฤติกรรมการทำงานในลักษณะเดิมซ้ำๆ เช่น การนั่งนานเกินไป ท่าทางการทำงานที่ไม่ถูกต้อง และการขาดการออกกำลังกาย ส่งผลต่อระบบกระดูกและกล้ามเนื้อโดยรวม
หมอนรองกระดูกเสื่อม
หมอนรองกระดูกเสื่อม เกิดจากความเสื่อมของหมอนรองกระดูกที่อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อ ซึ่งมีหน้าที่รองรับแรงกระแทกและช่วยให้กระดูกสันหลังเคลื่อนไหวได้ดี เมื่อหมอนรองกระดูกเสื่อม จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างและคุณสมบัติของหมอนรองกระดูก เช่น ความยืดหยุ่นลดลง ความสูงของหมอนรองกระดูกลดลง ทำให้เกิดอาการ ดังนี้
ปวดหลังเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณหลังส่วนล่าง (Low Back Pain)
รู้สึกไม่สบายตัวเมื่อนั่งหรือนอนนานๆ
อาการปวดลามไปยังสะโพกหรือขา หากมีการกดทับเส้นประสาทบางส่วน
หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือปลิ้นออกไปจากตำแหน่งเดิม และกดทับเส้นประสาทที่อยู่ใกล้เคียง อาการที่พบบ่อย ได้แก่
ปวดหลังเฉียบพลันหรือปวดร้าวลงขา (Sciatica)
ชาหรืออ่อนแรงบริเวณขาและเท้า
รู้สึกเจ็บหรือเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตเมื่อขยับร่างกายในบางท่า
หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจส่งผลต่อการเดินหรือการทรงตัว
สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับ Office Syndrome
นั่งทำงานในท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การก้มศีรษะตลอดเวลาหรือการนั่งหลังค่อม
การขาดการออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อหลังและหน้าท้องไม่แข็งแรง
ความเครียดและความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ จากการทำงานต่อเนื่องนานเกินไป
โปรแกรม Botox คอ บ่า ไหล่ อันตรายไหม ?
ไม่เป็นอันตรายครับเพราะในทางการแพทย์มีการยืนยันว่าการทำโปรแกรม Botox นั้นสามารถช่วยบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมได้ ลดอาการปวดเมื่อยบริเวณคอ บ่า ไหล่ได้และผลลัพธ์ออกมาดีด้วยครับ
กระบวนการทำงานของโปรแกรม Botox ออฟฟิศซินโดรมเป็นอย่างไร ?
โรคออฟฟิศซินโดรม เป็นกลุ่มอาการที่พบได้บ่อยในคนทำงาน โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานาน ใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันหลายชั่วโมง ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งและปวดเมื่อย
การแก้ปัญหาด้วย โปรแกรม Botox เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้กล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานหนักคลายตัว เพราะการทำโปรแกรม Botox ออกฤทธิ์โดยตรงต่อมัดกล้ามเนื้อ ทำให้สามารถบรรเทาอาการปวดจากโรคออฟฟิศซินโดรมและจุดปวดต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน
อาการแบบไหนควรทำโปรแกรม Botox คอ บ่า ไหล่ ?
ปวดตึงบริเวณคอ บ่า ไหล่ เพราะออฟฟิศซินโดรมมีอาการปวดเมื่อยแบบเรื้อรัง
ยกไหล่ไม่ขึ้น ยกได้แต่ไม่สุดแขน รู้สึกไม่สบายมีอาการไหล่ติด
กังวลเกี่ยวกับการทานยาหรือกลัวเสี่ยงภาวะเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากการรับประทานยาติดต่อกันนาน ๆ
มีการใช้งานกล้ามเนื้อตำแหน่งเดิมซ้ำ ๆ เช่น การออกกำลังกาย จนมีกล้ามเนื้อชัด ไหล่กว้าง และอยากลดขนาดลงครับ
หลังทำโปรแกรม Botox คอ บ่า ไหล่ จะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้เมื่อไหร่ ?
หลังจากทำ โปรแกรม Botox ที่บริเวณคอ บ่า และไหล่ ผลลัพธ์จะเริ่มปรากฏในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โดยทั่วไปมีรายละเอียดดังนี้:
ระยะเวลาเห็นผล
2 - 3 วันแรก : เริ่มรู้สึกว่ากล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเริ่มผ่อนคลายเล็กน้อย อาการตึงหรือปวดลดลงเล็กน้อย แต่ยังไม่ชัดเจน
1 - 2 สัปดาห์ : ผลลัพธ์จะเด่นชัดขึ้น กล้ามเนื้อจะคลายตัวมากขึ้น ทำให้ความรู้สึกปวดหรืออาการตึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
4 - 6 สัปดาห์ : เป็นช่วงที่ผลลัพธ์เต็มที่ กล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดจะผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ อาการปวดเรื้อรังและตึงตัวในบริเวณคอ บ่า ไหล่ จะลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ
โปรแกรม Botox คอ บ่า ไหล่ ผลลัพธ์นานแค่ไหน ?
หลังทำผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 4 - 6 เดือน แต่ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของแต่ละบุคคลด้วยนะครับ และรวมไปถึงการปรับพฤติกรรมท่าทางการใช้งานกล้ามเนื้อที่เหมาะสมขึ้น เช่น ท่านั่ง การเดิน การนอน และควรลดการใช้งานกล้ามเนื้อบริเวณนั้นลง ผลลัพธ์ก็จะได้นานขึ้นและอาการปวดเมื่อยก็ลดลงด้วยครับ
ข้อดีของการทำโปรแกรม Botox คอ บ่า ไหล่
ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่ใช้งานหนัก เช่น กล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า และไหล่ ซึ่งมักเป็นสาเหตุของอาการปวดและไม่สบายตัว
เริ่มเห็นผลภายใน 2 - 7 วัน และผลลัพธ์เต็มที่ภายใน 1 - 2 สัปดาห์ โดยอาการปวดลดลงได้ยาวนานประมาณ 4 - 6 เดือน
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการเรื้อรังหรือใช้กล้ามเนื้อในลักษณะเดิมซ้ำๆ เช่น การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ เพราะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งเรื้อรัง
ลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อช่วยป้องกันภาวะที่อาจเกิดขึ้น เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง
หลังทำโปรแกรม Botox สามารถกลับไปทำกิจกรรมหรือทำงานได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน
ลดอาการปวดและตึงกล้ามเนื้อช่วยปรับท่าทางร่างกาย เช่น ลดการไหล่ห่อหรือหลังค่อม ทำให้ดูผ่อนคลายและมั่นใจมากขึ้น
สำหรับผู้ที่ลองรักษาด้วยการนวด กายภาพบำบัด หรือการใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น Botox เป็นอีกทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ
เป็นวิธีที่ปลอดภัยและผ่านการรับรองหากทำโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ซึ่งจะประเมินตำแหน่งและปริมาณของตัวยาที่เหมาะสมกับแต่ละคน
วิธีการดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรม Botox คอ บ่า ไหล่ ทำได้อย่างไร ?
ภายใน 24 ชั่วโมงแรก: ห้ามนวด กด หรือถูบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้ Botox กระจายไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่เกี่ยวข้อง
หลีกเลี่ยงการก้มศีรษะมากเกินไปหรืออยู่ในท่าที่กดดันบริเวณฉีด
งดการออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงหรือเคลื่อนไหวร่างกายมาก เช่น การยกน้ำหนัก วิ่ง หรือโยคะ ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
หลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อนสูง เช่น การอบซาวน่า การอาบน้ำร้อน หรือการใช้แผ่นประคบร้อนในช่วง 24 ชั่วโมงแรก เพราะอาจส่งผลต่อการกระจายตัวยา
งดการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำหรือบวมบริเวณที่ฉีด
หลังจากทำโปรแกรม Botox ไปประมาณ 2 - 3 วัน อาจเริ่มทำท่ายืดกล้ามเนื้อเบาๆ เช่น การเอียงคอ หมุนไหล่ เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและลดความตึงตัวในกล้ามเนื้อ
ใช้เก้าอี้ที่รองรับสรีระ นั่งในท่าที่ถูกต้อง และพักการทำงานทุก 30-60 นาที เพื่อลดแรงกดดันต่อกล้ามเนื้อคอ บ่า และไหล่
วิธีแก้ปัญหาด้วยการทำโปรแกรม Botox คอ บ่า ไหล่ เป็นวิธีการบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรม เพื่อช่วยลดอาการปวดเมื่อย ที่เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 4 - 6 เดือน และที่สำคัญที่สุด แอดต้องบอกเลยครับว่าการทำโปรแกรม Botox คอ บ่า ไหล่ นั้นถูกยอมรับจากวงการแพทย์ว่ามีความปลอดภัย สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ หากท่านใดกังวลและสงสัยว่าเข้าข่ายจะเป็นหรือไม่ สามารถเข้ามาปรึกษาคุณหมอก่อนได้ครับ เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุดน้าาาาา
Facebook : https://www.facebook.com/lotteclinic8/
Inbox : m.me/lotteclinic8
Line Official : https://lin.ee/aA680qy
Youtube : youtube.com/c/lotteclinic
Instagram : instagram.com/lotteclinic/
Tiktok : tiktok.com/@lotteclinic
Hotline : 088-555-3421